บทสวดมนต์นี้ ถ้าเราสวดมันด้วยหัวใจ และวิญญาณ เราจะกลับกลายเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามสถานการณ์ในการสวดมนต์แล้วเราจะมีความรู้สึกปลาบปลื้ม ซาบซึ้ง มิใช่สวดเพียงแต่ความเข้าใจ การเข้าใจบางทีบางครั้งมันอาจจะไม่เข้าไปสู่ภายใน แต่สวดมันด้วยความรู้สึกจริงจัง จดจ่อ จับจ้องแบบตั้งใจ มันจะทำให้เรารู้สึกปลาบปลื้มและซาบซึ้ง และซึมสิงเข้าไปอยู่ในไขกระดูก และจิตวิญญาณภายในของเราได้ เราจะรู้สึกถึงความเอื้ออาทร ความห่วงหา ความเมตตาสงสารที่มีจิตวิญญาณของพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นั้น พระองค์ทรงเป็นผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่ ทรงเป็นผู้ให้ตลอด แม้กระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพระองค์แก่เรา เราจะรับสัมผัสได้ถึงพลังอันเป็นทิพย์ และศักดิ์สิทธิ์วิเศษสุดของพระองค์ ที่ทรงกล่าวด้วยความเอื้ออาทรสุดหัวใจ แล้วเราจะรู้ว่าช่างเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และอำนาจแห่งความเมตตาและปรารถนาดีต่อเราขนาดไหน
เพราะฉะนั้น การสวดมนต์ก็เป็นวิธีทางหนึ่งที่จะเปิดประตูวิญญาณให้เราเข้าไปเรียนรู้ “ พลังงานของจักรวาล ”
โลก และสังคมรวมทั้งความรู้สึกของท่านผู้บัญญัติบทสวดมนต์นั้น ๆ ให้แก่เรา เราจะรู้เจตนารมณ์และจุดมุ่งหมายของท่านเหล่านั้นว่าท่านสร้างบทสวดมนต์หรือ บทระลึกเป็นอนุสติให้เราเพื่อต้องการอะไร...
“ ชั่วชีวิต หลวงปู่เวลาจะเรียนรู้เรื่องอะไร หลวงปู่ต้องทำความเข้าใจถึงคนที่จะให้เราเรียนด้วยว่า เขาต้องการอะไรจากเรา แล้วสิ่งที่เราเรียน มันก็ทำให้เรารู้จริง จนแจ่มแจ้ง ไม่ใช่รู้จำแล้วทำไม่ได้ ”
เพราะฉะนั้น เวลาสวดมนต์ ไม่ใช่สวดเพียงเพื่อแค่ฟองน้ำลายที่กระดกบนปลายลิ้น แล้วก็มีเสียงลอดออกมาจากริมฝีปาก ไม่ใช่เพียงแค่พูด หรือสาธยายให้คนอื่นฟัง ให้เขาเข้าใจว่า ไพเราะ เสนาะหู แต่จงสวดมันทั้งกายและจิตวิญญาณ สวดมันทั้งซากและหัวใจ สวดมันตะโกนให้ดังและก้องกังวานอยู่ภายใน ให้มันทะลุทะลวงความโง่ งี่เง่า..ง่วง..มึนซึม และจิตใจที่หลงงมงายของตัวเรา..และก็จิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ และนอนรอเราปลุกให้ตื่นขึ้นมานั้น จึงถือว่าเราได้เจริญพุทธมนต์ ถึง ... “ มนต์ที่สวดแล้วทำให้เจริญ ”
เพราะฉะนั้น จงอย่าสวดแค่ซากและริมฝีปาก จงสวดด้วยจิตวิญญาณ แล้วท่านทั้งหลายก็จะได้รู้ถึง สัมผัสถึง เข้าใจถึง ซึมถึงจิตวิญญาณของพระพุทธะที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติจัดทำ ทั้งอักขระพยัญชนะให้เราได้สาธยาย
เราก็จะรู้ว่า พลังวิญญาณของพระองค์ ช่างยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ถ้าเราได้ดื่มด่ำและซาบซึ้ง เราจะรู้ถึงอรรถรสบทบรรยายแห่งพระธรรมของพระองค์อย่างสุดชีวิต บอกฝากเอาไว้แค่นี้ว่า
เวลาสวดมนต์ ควรจะสวดทั้งจิตวิญญาณจากกาย และไขกระดูกทั้งหมดของลมหายใจของเรา แล้วก็จะรู้ว่า พระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ของเราช่างเป็นผู้วิเศษสูงสุด เราพร้อมที่จะทุ่มเทและกับทุกสิ่ง แม้แต่ชีวิตเพื่อรักษาพุทธโอวาท “ พระดำรัส ” “ อุดมการณ์ ” “ หลักและวิธีการ ” ไว้ให้ได้ทุกสถานการณ์โดยที่เราไม่ได้มุ่งหวังการตอบแทนใด ๆ แต่ต้องการเพียงแค่รักษาให้คงไว้ซึ่งความ “ ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ ” และเปี่ยมไปด้วยความมีประโยชน์
สิ่งเหล่านี้เป็นวิถีทางที่เรา จะต้องทำ เป็นหน้าที่ของพระสาวกแห่งพระพุทธะ ที่ต้องสืบทอดเจตนาและรักษาไว้เทียบเท่าชีวิตของตนทีเดียวคำพูดเหล่านี้ มันออกจะดูเคอะเขิน ขัดข้อง และก็บกพร่องไปบ้างแต่ที่แน่ ๆ ก็คือเป็นการถ่ายทอดถึงจิตวิญญาณแห่ง “ พุทธะ ” ซึ่งเราจะต้องซึมสิงและปลูกจิตสำนึกให้เกิดขึ้น โตขึ้น แต่อย่าให้ตายลง ให้อยู่ในหัวใจของเราให้ได้ แล้วเราก็จะกลายเป็นผู้ที่มีอิสรภาพ มีเสรีภาพ และมีเสถียรภาพ เป็นการดำรงชีวิตได้อย่างชนิดไม่สั่นคลอน ไม่ง่อนแง่น และไม่โยกโคนไปตามแรงลมของการบีบคั้นบังคับของสังคมใด ๆ แม้แต่อารมณ์ที่เกิดจากการกระทบใด ๆ ก็จะไม่ทำให้เราหวั่นไหว ขอให้รักษามันไว้ให้ดี..ก็คงแค่นี้แหละนะ...
เพราะฉะนั้น การสวดมนต์ก็เป็นวิธีทางหนึ่งที่จะเปิดประตูวิญญาณให้เราเข้าไปเรียนรู้ “ พลังงานของจักรวาล ”
โลก และสังคมรวมทั้งความรู้สึกของท่านผู้บัญญัติบทสวดมนต์นั้น ๆ ให้แก่เรา เราจะรู้เจตนารมณ์และจุดมุ่งหมายของท่านเหล่านั้นว่าท่านสร้างบทสวดมนต์หรือ บทระลึกเป็นอนุสติให้เราเพื่อต้องการอะไร...
“ ชั่วชีวิต หลวงปู่เวลาจะเรียนรู้เรื่องอะไร หลวงปู่ต้องทำความเข้าใจถึงคนที่จะให้เราเรียนด้วยว่า เขาต้องการอะไรจากเรา แล้วสิ่งที่เราเรียน มันก็ทำให้เรารู้จริง จนแจ่มแจ้ง ไม่ใช่รู้จำแล้วทำไม่ได้ ”
เพราะฉะนั้น เวลาสวดมนต์ ไม่ใช่สวดเพียงเพื่อแค่ฟองน้ำลายที่กระดกบนปลายลิ้น แล้วก็มีเสียงลอดออกมาจากริมฝีปาก ไม่ใช่เพียงแค่พูด หรือสาธยายให้คนอื่นฟัง ให้เขาเข้าใจว่า ไพเราะ เสนาะหู แต่จงสวดมันทั้งกายและจิตวิญญาณ สวดมันทั้งซากและหัวใจ สวดมันตะโกนให้ดังและก้องกังวานอยู่ภายใน ให้มันทะลุทะลวงความโง่ งี่เง่า..ง่วง..มึนซึม และจิตใจที่หลงงมงายของตัวเรา..และก็จิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ และนอนรอเราปลุกให้ตื่นขึ้นมานั้น จึงถือว่าเราได้เจริญพุทธมนต์ ถึง ... “ มนต์ที่สวดแล้วทำให้เจริญ ”
เพราะฉะนั้น จงอย่าสวดแค่ซากและริมฝีปาก จงสวดด้วยจิตวิญญาณ แล้วท่านทั้งหลายก็จะได้รู้ถึง สัมผัสถึง เข้าใจถึง ซึมถึงจิตวิญญาณของพระพุทธะที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติจัดทำ ทั้งอักขระพยัญชนะให้เราได้สาธยาย
เราก็จะรู้ว่า พลังวิญญาณของพระองค์ ช่างยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ถ้าเราได้ดื่มด่ำและซาบซึ้ง เราจะรู้ถึงอรรถรสบทบรรยายแห่งพระธรรมของพระองค์อย่างสุดชีวิต บอกฝากเอาไว้แค่นี้ว่า
เวลาสวดมนต์ ควรจะสวดทั้งจิตวิญญาณจากกาย และไขกระดูกทั้งหมดของลมหายใจของเรา แล้วก็จะรู้ว่า พระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ของเราช่างเป็นผู้วิเศษสูงสุด เราพร้อมที่จะทุ่มเทและกับทุกสิ่ง แม้แต่ชีวิตเพื่อรักษาพุทธโอวาท “ พระดำรัส ” “ อุดมการณ์ ” “ หลักและวิธีการ ” ไว้ให้ได้ทุกสถานการณ์โดยที่เราไม่ได้มุ่งหวังการตอบแทนใด ๆ แต่ต้องการเพียงแค่รักษาให้คงไว้ซึ่งความ “ ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์ ” และเปี่ยมไปด้วยความมีประโยชน์
สิ่งเหล่านี้เป็นวิถีทางที่เรา จะต้องทำ เป็นหน้าที่ของพระสาวกแห่งพระพุทธะ ที่ต้องสืบทอดเจตนาและรักษาไว้เทียบเท่าชีวิตของตนทีเดียวคำพูดเหล่านี้ มันออกจะดูเคอะเขิน ขัดข้อง และก็บกพร่องไปบ้างแต่ที่แน่ ๆ ก็คือเป็นการถ่ายทอดถึงจิตวิญญาณแห่ง “ พุทธะ ” ซึ่งเราจะต้องซึมสิงและปลูกจิตสำนึกให้เกิดขึ้น โตขึ้น แต่อย่าให้ตายลง ให้อยู่ในหัวใจของเราให้ได้ แล้วเราก็จะกลายเป็นผู้ที่มีอิสรภาพ มีเสรีภาพ และมีเสถียรภาพ เป็นการดำรงชีวิตได้อย่างชนิดไม่สั่นคลอน ไม่ง่อนแง่น และไม่โยกโคนไปตามแรงลมของการบีบคั้นบังคับของสังคมใด ๆ แม้แต่อารมณ์ที่เกิดจากการกระทบใด ๆ ก็จะไม่ทำให้เราหวั่นไหว ขอให้รักษามันไว้ให้ดี..ก็คงแค่นี้แหละนะ...
จากหนังสือทำวัตร-สวดมนต์แปล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น