วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

ความกตัญญู



การได้มีโอกาสเข้ามาค้นหาสาระของการมีชีวิตถือว่าเป็นมงคลอย่างหนึ่งในชีวิตก่อนที่หลวงปู่จะพูดถึงเรื่องความกตัญญู ขอพูดตรงนี้สักนิดหนึ่งว่า "จงโตพร้อมตาย แต่อย่าโตจนลืมตาย"
หลวงปู่เคยพูดกับพระเณรในวัดเสมอว่า พวกท่านอย่าคิดว่าผมมีชีวิตอยู่ในอาวาสนี้ ให้พวกท่านคิดว่า ผมไม่ได้มีชีวิตอยู่ในอาวาสนี้ เพื่อดูว่าพวกท่านจะทำอะไรด้วยตัวท่านเองได้บ้าง พวกท่านจะได้รู้จักที่จะโต พร้อมรอวันตาย ไม่ใช่โตจนลืมตาย เหตุที่โตจนลืมตายก็เพราะว่า มีชีวิตอยู่เพื่อจะให้โต ให้ยิ่งใหญ่ ให้ได้ดี ให้มี ให้เป็น ให้เด่น ให้ดัง แต่ไม่คิดดับ นี่เรียกว่าโตจนลืมตาย แต่ถ้าโตพร้อมรอวันตายนั้น มันมีชีวิตอยู่ทุกย่างก้าวหยาดหยดของลมหายใจเข้าออกและเลือดเนื้อชีวิตและเส้นเอ็นของตนมันเต็มเปี่ยมไปด้วยสาระทุกหยาดหยดและย่างก้าว มันก้าวเดินด้วยความมีสาระ มั่นคง องอาจ สง่างาม และผ่าเผย พร้อมที่จะเผชิญหรือผจญต่อเหตุในสิ่งแวดล้อมที่บีบคั้นเลวร้ายปานใด ก็สามารถเอาชนะหลุดรอดอยู่ได้อย่างสบายอย่างนี้เขาเรียกว่าโตพร้อมตาย แล้วถึงวันตายก็ตายอย่างองอาจสง่างามผ่าเผย เป็นความตายที่เรากล้าที่จะบอกกับมันได้ว่า เราพร้อมที่จะรับ

ส่วนประเภทที่โตจนลืมตายนั้น พวกนี้จะกลัว ประหม่า หวาดหวั่น สั่นและพรั่นพรึงอยู่ตลอดเวลาเพราะเกิดจากความไม่มั่นใจตัวเอง ไม่มั่นใจเพราะคิดว่าตัวเองไร้สาระมาตลอด ที่ผ่านมาไม่มีสาระให้แก่ตัวเอง ไม่มีภูมิธรรม ไม่มีค่านิยม ไม่มีภูมิความรู้ หรือไม่มีความประพฤติปฏิบัติหรือสิ่งที่ทำ ที่จะทำให้ตัวเองมั่นใจและพร้อมตาย เพราะฉะนั้นคนที่โตจนลืมตายนั้น ถือว่าเป็นผู้ที่มีกายอันไม่ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนผู้ที่โตพร้อมตาย ถือว่าเป็นผู้ที่ตั้งมั่นด้วยกายอันศักดิ์สิทธิ์
ฉะนั้น ที่ผ่านมาหลวงปู่ก็พยายามสอนให้ทุกคนโตพร้อมตาย โดยการทำให้เขาดูเป็นครูให้เขาเห็นในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะมีปัญหาใดๆ หลวงปู่ก็ต้องคอยแก้ปัญหาเพื่อให้งานลุล่วงไปอย่างชนิดที่เรียกว่า รวดเร็ว เร่งรีบ รวบรัด และเรียบร้อย
ถ้าถามหลวงปู่ว่าอยากจะให้ทุกคนคิดเองได้บ้างมั้ย อยากให้ทำเองได้บ้างมั้ย อยากให้เป็นผู้นำของตัวเองได้มั้ย ...อย่าว่าแต่อยากเลย มันสุดยอดปรารถนาทีเดียวแหละ เพราะไม่มีพ่อแม่คนไหนในโลกที่เลี้ยงลูกแล้วไม่อยากให้ลูกโตหรอก ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนในโลกเลี้ยงลูกแล้วอยากให้ลูกโง่ ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนในโลกที่เลี้ยงลูกแล้วไม่อยากให้ลูกพึ่งตัวเองได้ และก็ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนในโลกสอนลูกลี้ยงลูกแล้วไม่อยากให้เป็นที่พึ่งแก่คนอื่น...ไม่มี ฉันใดก็ฉันนั้น หลวงปู่เองก็เหมือนกัน
เคยมีคนถามหลวงปู่ตอนแสดงธรรมว่า การที่เตรียมบวชหน้าไฟให้บิดา แต่เกิดป่วยขึ้นมาเลยไม่ได้บวช ไม่ทราบว่าจะมีผลอย่างไร หลวงปู่เลยตอบไปว่า มันก็ไม่มีผลอะไร ก็แค่ไม่ได้บวชไม่ได้โกนหัวเท่านั้นเองแต่การที่คิดจะบวชเพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตาตอนพ่อตายน่ะ หลวงปู่ไม่เห็นด้วย
หลวงปู่ถามไปว่า เขาอายุเท่าไหร่ เขาบอกว่าอายุ ๔๐ หลวงปู่เลยย้อนถามว่า ตอนที่อายุ ๒๐ กว่าน่ะเคยคิดจะบวชมั้ย เขาตอบว่าไม่เคยคิด พอถามว่าทำไม ก็ได้รับตำตอบว่า เพราะไปมีลูกมีเมีย อยู่กับลูกเมียแล้วเมาหยำเปเสเพล ทำตัวเองเหลวแหลก ทีนี้พอพ่อตายก็คิดอยากจะบวช มานั่งร้องห่มร้องไห้ อย่างนี้มันน่ามั้ย... ก็ตอนที่พ่อยังดีๆ มันไม่คิดจะให้ ฝ่ายพี่สาวก็เหมือนกัน บอกพ่อชอบกินหัวหมู ชอบกินเป๋าฮื้อ เลยเอาหัวหมูเอาเป๋าฮื้อไปวางไว้ข้างโลง เคาะป๊อกๆๆๆรียกพ่อกิน หลวงปู่ถามว่าก่อนพ่อตายเคยซื้อพวกนี้ให้พ่อกินบ้างมั้ย เขาบอกว่าไม่เคยเลย เนี่ย...พวกนี้มันแย่ หลวงปู่เลยพูดไปว่า มาทำดีตอนพ่อตาย เคาะโลงป๊อกๆ เรียกกินนั่นกินนี่แต่ตอนไม่ตายปล่อยให้พ่อแม่อดอยากปากแห้ง อย่างนี้มันจะได้ประโยชน์อะไร ทำไมไม่คิดจะทำตอนที่เค้ายังไม่ตายล่ะลูก
ทำดีอย่างนี้หลวงปู่ไม่สนับสนุน เพราะหากว่าชั่วชีวิตเรา ไม่เคยทำดีกับพ่อกับแม่ แล้วมาทำตอนที่พ่อแม่ตายแล้ว มันไม่ใช่เรื่องดี มันเป็นเรื่องเหมือนกับคนไปไถ่บาป ทำบาปมา ๒๐ ปี แต่ไถ่บาปแค่วันเดียว อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องดี
เมื่อไม่นานมานี้มีผัวเมียคู่หนึ่งมาที่วัด นั่งแท็กซี่มา เพื่อจะมาหาวิธีรักษาโรค ผัวอายุ ๘๔ ปี เมียอายุ ๗๒ ปี ผัวเป็นโรคต่อมลูกหมากอักเสบ เมียเป็นโรคเท้าช้าง จูงกันมาสองคนตายาย หลวงปู่เห็นแล้วสมเพช เลยนั่งคุยด้วย ได้ความว่า
ผัวเมียคู่นี้เป็นข้าราชการบำนาญทั้งคู่ มีลูก ๔ คน เป็นอาจารย์ เป็นวิศวะ เป็นตำรวจ เป็นทหาร ทุกคนมีครอบครัวกันหมดแล้ว แยกย้ายไปอยู่กับครอบครัวของตน ไม่มีใครอยู่เลี้ยงดูพ่อแม่เลย เขาอยู่กันสองคนตายายอย่างนี้ บ้านอยู่แถวบางเขน
หลวงปู่ถามว่า "ลูกๆมาหาบ้างมั้ย"
"เดือนหนึ่งจะมาครั้งหนึ่ง ถ้าว่างเค้าก็จะมา แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้มาเท่าไหร่ เพราะเค้ามีภารกิจ"
"แล้วลูกอยู่แถวไหนล่ะ"
"ก็อยู่บางกะปิ พระโขนง แถวสะพานใหม่ดอนเมือง"
หลวงปู่มานั่งนึกดูว่า เออ...สมัยตอนที่ผัวเมียคู่นี้มีลูก คงคิดอย่างนี้กับพ่อแม่ เวลานี้ถึงได้รับกรรมอย่างนี้ แต่หลวงปู่ไม่ได้พูดให้เค้าฟังหรอก กลัวเค้าจะเสียใจ หลวงปู่คิดต่อไปว่า ถ้าตอนที่พวกเค้าเลี้ยงลูก เวลาลูกร้องไห้ตอนดึกๆ หรือลูกโดนมดกัด ตกน้ำตกท่า ถ้าพ่อแม่ไม่สนใจไยดี อยากนอนหลับให้สบายอย่างเดียว ป่านนี้ลูกคงตายไปแล้ว แต่ถ้าเค้าเลี้ยงลูก ด้วยความเอื้ออาทร ความการุณ ทำไมลูกไม่คิดอาทรการุณต่อพ่อแม่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่บ้างเล่า
ดูเถอะสองคนผัวเมียแก่ๆต้องมานั่งเลี้ยงกันเอง ผัวเลี้ยงเมีย เมียเลี้ยงผัว หยอดน้ำข้าวต้มกัน ผัวอายุ ๘๐ กว่าเป็นโรคอย่างนั้นด้วยก็เดินไม่ค่อยไหว ต้องย่องแย่งโบกรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปซื้อกับข้าวที่ตลาดมาทำกินเอง
นี่แหละคือสิ่งที่เราทอดทิ้ง สังคมมันเหลวแหลก บ้านพักคนชราเกิดขึ้นก็เพราะสังคมครอบครัวมันล่มสลาย เหตุที่เป็นอย่างนี้ เพราะว่าพวกเราสอนมาอย่างนั้น ก็เด็กๆน่ะพอหลุดจากนมแม่ปั๊บก็ผลักมันออกจากอ้อมอกพ่อแม่ ให้ไปอยู่ตามโรงเรียนตามครูตามเพื่อน พอถามว่าทำไมต้องเร็วอย่างนั้น ก็บอกว่าเดี๋ยวจะเรียนไม่ทันเพื่อน จะแข่งกับคนอื่นไม่ได้ จะสอบไม่เก่ง จะเรียนไม่รู้เรื่อง ฯลฯ ทีนี้พอเด็กใช้เวลาอยู่ในสังคมเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ มันก็มองว่าสังคมเพื่อนสำคัญกว่าสังคมครอบครัว เวลามีปัญหามันก็หันไปหาเพื่อน ถ้าไปเจอเพื่อนดี ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าไปเจอเพื่อนอัปรีย์ พาไปติดยาส้องเสพสิ่งเลวร้าย ทีนี้เราจะมาโทษใครเพราะเรานั่นแหละเป็นคนส่งผลักไสให้มันไปเลือกสิ่งนั้นเอง
อย่างลูกไก่กับแม่ไก่ แม่มันยังสอนว่า "ลูก ไอ้ที่มีขนเหมือนแม่น่ะ ไม่ใช่แม่เสมอไปนะลูก นั่นเค้าเรียกเป็ด เนี่ยเค้าเรียกไก่ตัวผู้ แต่ไอ้ที่มันบินได้สูงๆน่ะมันนกเหยี่ยว มันก็มีขนเหมือนแม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นลูกอย่าไปคบเหยี่ยว อย่าไปใกล้เป็ดนะ เผ่าพันธุ์ของลูก ลูกต้องเข้าใกล้"
แต่คนเราสมัยนี้พอออกจากไข่ กะเทาะเปลือกแป๊ะ ก็ไล่ออกไปนอกอกพ่อแม่ แล้วเด็กมันก็ไม่รู้ว่า ไอ้นั่นมีขนเหมือนแม่เรา เราต้องเข้าไปหา สุดท้ายก็กลายเป็นลูกเหยี่ยว ลูกดสือ ลูกตะเข้ เราก็เลยติดเหยี่ยวติดเสือติดตะเข้ไปด้วย แล้วก็มาบ่นกันว่า "ลูกเราทำไมไม่ดีเลย" นี่ก็เพราะเราเป็นคนผลักดันให้มันออกไปเอง จึงต้องมารับผลกรรมที่เกิดขึ้น
หลวงปู่เคยถามบางคนที่มาวัดว่า มาทำไม เขาบอกว่า มาทำบุญเอาดอกมะลิมถวาย เพื่ออุทิศบุญกุศลให้แม่ เพราะวันนี้วันแม่ หลวงปู่เลยเทศนาไปว่า
"โอ้โห นึกถึงแม่แค่วันนี้วันเดียว นอกนั้นไม่เคยนึกเลย อย่างนี้ใช้ได้ที่ไหน"
หลวงปู่พูดมาตลอดว่า อย่าคิดว่าวันนี้เป็นวันพ่อ อย่าคิดว่าวันนี้เป็นวันแม่ จงคิดว่าวันพ่อแม่ต้องมีทุกวัน ถ้าคิดว่าวันนี้เป็นวันพ่อ วันนั้นเป็นวันแม่ ก็แสดงว่าที่ผ่านมาน่ะ ไม่เคยดีต่อพ่อแม่เลยใช่มั้ย แล้วอย่างนี้จะมีลูกมาทำอะไร การให้พ่อแม่อบอุ่นแค่วันเดียวใน ๓๖๕ วัน หลวงปู่มองว่ามันเป็นเรื่องเลวร้าย อยากจะย้ำบอกตรงนี้ว่า
อย่าคิดถึงพ่อเป็นวัน อย่าไหว้แม่เป็นนาที แต่จงคิดถึงพ่อแม่ทุกวัน เวลา นาที เดือน ปี และลมหายใจที่เข้าออก จำไว้ว่าเลือดของเรา เนื้อของเรา กระดูกของเรา ไขมันแห่งเรา ทุกอย่างในร่างกายเรา เป็นของพ่อและแม่ ถ้าคิดได้อย่างนี้ ต้องทำสิ่งดีๆให้กับพ่อแม่ ต้องทำให้พ่อแม่เจริญหู เจริญตา เจริญใจ เจริญปัญญา และก็เจริญสุข อย่างนี้เรียกว่าลูกกตัญญู
ฉะนั้น ถ้าคิดจะไหว้พ่อคิดจะบูชาแม่ จงไหว้ทุกวัน บูชาทุกวัน แล้วเราก็จะรู้ว่า เรามีความกตัญญูรู้คุณ ผู้ที่มีสัญลักษณ์ของคนดีคือคนกตัญญูรู้คุณคน กตเวทิตา ตอบแทนพระคุณคน เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดจะเป็นคนดีอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงยกย่อง และมีเทพพรหมอารักษ์อภิบาลรักษาอยู่ตลอดเวลานั้น เราก็ต้องทำตนให้เป็นผู้รู้คุณคน และตอบแทนบุญคุณเขา ไม่ใช่ตอบแทนตอนที่เขาตาย ต้องตอบแทนตอนที่เขาอยู่ด้วย ทำดีให้เขาได้ทุกเวลาที่มีโอกาสทำ เอื้ออาทรให้เขาทุกครั้งที่มีโอกาสได้เอื้อ
การไปบวชหน้าไฟเพื่อให้พ่อแม่สบายใจน่ะ ทำไมต้องไปบวชตอนนั้น บวชก่อนไฟไม่ได้เหรอ บวชก่อนที่พ่อแม่จะตายได้มั้ย ตอนที่พ่อแม่ตายแล้วเราบวชเนี่ยะมันไม่แย่กว่าเหรอ ถ้าคิดอย่างนี้ เราก็จะรู้ว่า ไอ้หน้าไฟน่ะ มันไม่ได้สำคัญเท่ากับบวชต่อหน้าตอนยังเป็นหรอก ถ้าจ้องที่จะบวชหน้าไฟอย่างเดียว แล้วหน้าน้ำหน้าลมไม่สนใจ ปล่อยให้มันแห้งชะเง้อ อย่างนี้หลวงปู่ไม่สนับสนุน
ชั่วชีวิตของหลวงปู่ ไม่เคยทำอะไรที่ไม่เจริญตา ไม่เจริญปัญญา และไม่เจริญใจ ให้กับพ่อแม่เลย ไม่เคยหาเรื่องเดือดร้อนเสียหายมาให้ ไม่เคยแบมือขอสตางค์ หลวงปู่คิดเสมอว่า สองขายืนได้ สองมือทำได้ หนึ่งหัวคิดได้ หนึ่งตัวตั้งมั่น นั่นคือพรอันวิเศษที่พ่อแม่ได้ให้ไว้ คิดอย่างนี้เสมอ นอกจากไม่ทำให้เดือดร้อนแล้ว ก็ยังทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจในวงศ์ตระกูลอีกด้วย ถามว่านี่เป็นการกตัญญูมั้ย หลวงปู่ไม่ใช่คนกตัญญู แต่เป็นคนรู้คุณคน และก็หาวิธีตอบแทนคุณอย่างสูงสุด ไม่ใช่เพียงแค่เลี้ยงเค้าในชาติปัจจุบันเท่านั้น
ฉะนั้น ขอให้พวกเราทุกคน จงมีพ่อแม่ทุกลมหายใจเข้าออก อย่าคิดถึงแต่พ่อแม่เป็นบางครั้งบางคราว บางครู่บางยาม หรือบางเรื่องบางอย่างเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น