ปุถุชน" ไม่ใช่หมายถึงว่าการถือเพศคฤหัสถ์ "ปุถุชน" ไม่ใช่ชาว บ้านฆราวาสตีหัวหมา ด่าแม่เจ๊ก หรือ "ปุถุชน" ไม่ใช่นุ่งเขียวห่มขาว นุ่งเหลือง ห่มแดงอะไรก็ไม่ใช่ แต่ "ปุถุชน" ในที่นี้หมายถึง สภาวะที่ สภาพ จิตของตนตกอยู่ในมายา ตกอยู่ ในความงมงายและหลงใหล แล้วก็จะพูดถึงเรื่อง "ปุถุชน" นี้แล้ว
ถ้า จะพูดกับเค้าเรื่องคุณธรรม พวกเขาจะไม่รู้จัก ถึงรู้จักก็เป็นเพียงคุณธรรมของพวก "ปริยัติ" (พวกเอาแต่เรียน) ถึงจะเป็นคุณธรรมที่เขามีอยู่ เช่น ขันติ ความอดทน ความเสงี่ยมหรือเมตตา กรุณา ถ้าเป็นของ "ปุถุชน" แล้วมันเป็นไปโดยที่ เหมือนกับลมเพ ลมพัด น้ำขึ้น น้ำลง บางเวลา เขาก็อาจจะมี "ขันติ" แต่บางเวลาเขาอาจจะเป็น "ขันแตก" บางเวลามันก็จะขึ้น ๆ ลง ๆ
เพราะฉะนั้น "ปุถุชน" ผมถึงเขียนว่าเป็นผู้ที่มีความเพียรต่ำ มีความสามารถน้อย มีขีดจำกัด และมีข้อแม้มาก ไม่ว่าจะทำอะไรกับ "ปุถุชน" แล้วมีข้อแม้เยอะแยะ หยุมหยิม ยึกยัก ดูตัวอย่างที่ผ่านๆ มา แม้แต่การทำงานผมปล่อยให้พวก "ปุถุชน" ตกลงตัดสินใจแก้ปัญหา ก็มีข้อแม้มาก เนี้ยะ "ปุถุชน" มีข้อแม้มาก มีเงื่อนไขเยอะ ถ้า ทำงานกับ "ปุถุชน" แล้วมีเงื่อนไขมากเหลือเกิน ไอ้เนิ่นก็ต้องได้ ไอ้นี่ ก็ต้องได้ ไอ้โน่นก็ทำไม่ได้ ไอ้นี้ก็ทำไม่ได้ ปัญหาเยอะ
เพราะฉะนั้น นี่คือ "ปุถุชน" และ "ปุถุชน" ถึงที่สุดได้ง่าย ไม่ ใช่ถึงที่สุดของความเจริญรุ่งเรือง แต่ถึงที่สุดของความฉิบหายได้ง่าย ถึงที่สุดของความทำลายตัวเองได้ง่าย ถึงที่สุดของความเสื่อมได้ง่าย
เพราะฉะนั้นนี่คือข้อแม้ ของพวก "ปุถุชน" และถ้าจะพูดถึงศีล ศีล ของ "ปุถุชน" ก็คือศีลปริยัติ ถึงจะถือศีล ก็เป็นศีลของพวกท่องจำ ไม่ใช่ศีลด้วยการปฏิบัติอย่างแท้จริง ถึงจะปฏิบัติก็จะปฏิบัติไม่ได้ข้ามวันข้ามคืน รับศีลตรงนี้จากพระปาณาติปาตา หรือสุราเมระยะ พอพ้นจากหน้าพระก็ ไปฉะเหล้าเป็นระยะ อะไรประเภทนั้น จึงเรียกว่า เป็นศิลปริยัติ แม้แต่ผู้ที่เขามาอยู่ในศาสนาถ้ายังมีหัวใจที่เป็นปุถุชน ถ้าจะพูดถึงเรื่องศีล เค้าก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมากนัก เพราะว่านั่นเป็นเพียงข้อวัตรปฏิบัติที่อยู่ในปริยัติ คือ การเรียนรู้เท่านั้น สมาธิสำหรับปุถุชน ก็คือการนั่งหลับตา ถ้าไม่หลับตาแล้ว ก็ถือว่าไม่ใช่สมาธิ ปัญญาสำหรับพวกปุถุชนนั้น มันก็คือกิริยาอาการเพื่อความอยู่รอดเอาตัวรอด สุดท้ายเค้าก็อยู่ไม่รอด
แต่ ถ้าจะพูดถึง "วิมุตติ" (คือความหลุดพ้น) สำหรับ "ปุถุชน" เอาเพียงแค่ว่าตรงนี้เป็นทุกข์ก็ออกจากตรงนี้ไปอยู่ตรงนั้นมันจะได้เป็นสุข พอตรงนั้นเป็นทุกข์ อีกก็ไปตรงโน้นซะ นี้คือ " วิมุตติของปุถุชน"
เพราะ ฉะนั้นเมื่อเจ้าจะทำงานกับปุถุชนสำหรับพวกท่านทั้งหลาย ซึ่งพวกท่านก็ยังเป็น"ปุถุชน" และจะทำงานร่วมกับ "ปุถุชน" ผมก็ต้องขอเตือนพวกท่านว่า ระวังจะต้องชนกันด้วยความรู้สึก หยุมหยิม ยึกยัก ความสามารถ ต่ำความรู้น้อย ความทะเยอทะยานสูง หรือไม่ก็กลายเป็นเรื่องมีข้อแม้มาก แล้วก็ถึงที่สุดของความฉิบหายได้ง่าย
เพราะ ฉะนั้นผู้ที่เป็นหัวหน้าหรือผู้นำของ "ปุถุชน" ทำ งานกับ "ปุถุชน" แล้วจะได้ว่า ไอ้การทำงานเป็นผู้นำเขา นั้นมันจะลำบากยากเย็นแสนเข็ญอย่างไร ยิ่งทำกับพวก "ปุถุชน" ซึ่งมีความรู้สึกสามารถต่ำความรู้น้อย
ถ้า พูดถึงเรื่องของคุณธรรมก็เป็นไปอย่างลมเพ ลมพัด คล้ายน้ำขึ้นน้ำ ลง ผลุบๆ โผล่ๆ แล้วถ้าจะพูด กันถึงเรื่องความรู้ความสามารถ ก็มีเพดานต่ำ ความรู้สึกต่ำๆ ที่เกิดจากความทะเยอทะยานหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกิดจาก"ปุถุชน"
ปล่อย ให้คนตกเป็นทาสของมายาขจิต มายาขจิตที่เกิดๆ ดับๆ แล้ว ที่มีสิ่งอื่นมาปลอมแปลงเปลี่ยนแปลงปรับปรุงแก้ไขความบริสุทธิ์ ยุติธรรม ของจิตดวงที่เกิดๆ ดับๆ ให้มันต้องเสื่อมโทรม ฉิบหายและทำลายลงไปด้วยความรู้สึก ไร้ความอิสระ เมื่อเป็นเช่นนี้แสดงว่าคนเช่นนั้นเป็น "ปุถุชน" ผมเรียกว่า "มายาขจิต" คือสิ่งที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียงจมูก ได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัสหรือความปรุงอารมณ์ต่างๆ ทำอารมณ์ ให้เป็นอะไร ไม่ทำสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้น คนๆ นั้นไม่ใช่ " ปุถุชน" เมื่อไม่ใช่ "ปุถุชน" แล้วเขาก็พร้อมที่จะทำงาน ให้กับผู้ที่เป็น "ปุถุชน" สำหรับที่จะเปลี่ยนแปลง "ปุถุชน" ให้พ้นจากภัยพิบัติต่างๆ ได้ แล้วคนพวกนี้พวกที่ไม่ใช่ "ปุถุชน" นั้น เป็นพวกที่มีข้อแม้น้อย มีเงื่อนไข ไม่มากเพราะอะไรๆ ก็ได้ง่ายๆ สบายๆ แม้แต่ชีวิตความเป็นอยู่ก็ง่ายๆ สบายๆ ให้มันเป็นไปโดยง่ายๆ เพราะทุกอย่างมันง่าย และก็มีความสามารถพวกนี้สูงพูดน้อยแต่ทำมาก มีขีดจำกัดเยอะ หมายถึงว่าไม่ค่อยมีขีดจำกัด
สำหรับผู้ที่ไม่ใช่ "ปุถุชน" นี้ไม่มีคำว่าถึงที่สุดเพราะมันจะมีทางเดินสำหรับเขาอยู่ตลอด เขาจะไม่สร้างอะไรเป็นเครื่องกีดขวางทางเดินของเขา "ผม เนี้ยะชั่วชีวิตทางเดินไม่เคยตัน ไม่ว่าจะปัญหาอะไรเล็กน้อย นิดหน่อย เยอะแยะ หยุมหยิม ยึกยัก ผมมีทางเดินของผมตลอด ปัญหาใดๆ ผมไม่เคย ให้ตกค้าง ผมมีแต่สะสางให้มันลุล่วงไปได้ตลอด"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น